Fic IdentityV : Someone behind you
...ฉันกับเขาวิ่งมาถึงจุดนัดหมายในเวลาเที่ยงคืนที่ทุกคนได้นัดหมายกัน บรรยากาศเงียบสงบกลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่วบริเวณก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา.... "มีใครบางคนอยู่ด้านหลังของคุณ"
ผู้เข้าชมรวม
233
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
...Introduction
Emma
“...แม้ว่าการไล่ล่าจะจบลง แต่ฆาตกรก็ยังคงกระหายเลือดจากเหยื่อและมันจะโผล่ออกมาทุกๆ คืนเพื่อจับเด็กดื้อไปนั่งเก้าอี้ลงทัณฑ์...”
หญิงสาวกล่าวจบก่อนจะปิดนิทานเล่มหนาลงพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ที่ฟังอยู่อย่างตั้งใจ ใบหน้าตกกระมองภาพเหล่าเด็กน้อยที่กำลังหัวเราะและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครู่นี้จนเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นมา
“จบแล้ว ถึงเวลานอนตามสัญญา” เธอเก็บนิทานไว้บนชั้นหนังสือก่อนจะเริ่มแจกจ่ายผ้าห่มและหมอนให้กับเหล่าเด็กน้อยที่กำลังเข้านอนหรือปาหมอนใส่กัน
“แล้วฆาตกรจะตามมาฆ่าผมมั้ยฮะ ?” เด็กชายผมสีดำหยักศกเชื้อสายสเปนคนหนึ่งเอ่ยออกมาในขณะที่เด็กคนอื่นเริ่มทยอยกันเข้านอน
“นายเป็นเด็กดื้อหรือเปล่าล่ะพีท ?” คนถูกถามหลบหมอนที่ถูกเขวี้ยงมาก่อนจะถามกลับ มองด้วยหางตาเด็กชายกำลังทำสีหน้ากระอักกระอวนใจที่จะตอบมันออกมา
“ผมแอบกินคุกกี้ในตู้เย็น...” เด็กน้อยยอมสารภาพออกมาเบาๆ “เมื่อคืน...”
เมื่อเห็นท่าทางที่รู้สึกผิดคนที่ยืนอยู่ก็ผุดรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนจะลูบหัวปลอบโยนเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเอ็นดูในการกระทำนั้น
“ตอนนี้ความผิดของนายได้ถูกยกโทษแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่ใช่ว่าผมต้องไปสารภาพบาปกับบาทหลวงวันอาทิตย์หรอกหรอ ?”
“เจ้าของคุกกี้คือฉันเอง มาสารภาพกับฉันก็ถือว่าความผิดหายไปยังไงล่ะ”
“แบบนี้ผมก็ไม่ใช่เด็กดื้อแล้วใช่มั้ยฮะ ?”
“ไม่ใช่แน่นอน”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจเด็กชายจึงค่อยๆ ล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาลงอย่างสบายใจ มือคว้าตุ๊กตาหมีตัวโปรดมากอดไว้ข้างกายก่อนจะคลี่ยิ้มให้พี่สาวผู้ใจดีเป็นครั้งสุดท้ายของคืนนี้
“ฝันดีฮะเอมม่า”
“ฝันดีพีท”
เธอจูบหน้าผากของเด็กน้อยที่เข้าสู่ห้วงนิทราแล้วหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวของเขาไว้ รอจนกว่าเด็กทุกคนจะหลับสนิทจากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอนรวมไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง......
......ลมหนาวที่พัดพาเสดใบไม้เข้ามาทางหน้าต่างเป็นสัญญาณแจ้งเตือนว่าฤดูเก็บเกี่ยวกำลังจะหมดลง
หญิงสาวได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าดอกไฮเดรนเยียที่เธอปลูกจะยังคงอดทนรอไปจนถึงวันอาทิตย์ที่กำลังจะมาถึงอันเนื่องจากคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งในตัวเมืองจะมาจัดงานแต่งในโบสถ์ที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ในฐานะชาวสวนที่มีชื่อเสียงด้านการจัดดอกไม้เธอจึงถูกขอร้องให้จัดการตกแต่งดอกไม้ในงานนี้อย่างสุดความสามารถ
เอมม่า วูดส์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่จึงได้ถูกรับเลี้ยงดูจากทางโบสถ์มาตั้งแต่เด็ก เธอมีผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าแต่มักจะรวบขึ้นไว้ใต้หมวกฟางกันไม่ให้เลอะเหงื่อที่ต้นคอหรือขี้ดินจากมือระหว่างที่ทำงาน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของเธอมักดูกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาตลอดเวลา มีใบหน้าตกกระบริเวณแก้มและจมูก
เอมม่ายึดอาชีพชาวสวนเป็นหลักตั้งแต่ที่เห็นดอกทานตะวันครั้งแรกในสวนหลังโบสถ์ หลังจากนั้นเธอจึงดูแลและศึกษามันรวมไปถึงพืชพันธุ์ชนิดอื่นๆ ไปด้วยจนมีทักษะการทำสวนที่ถูกกล่าวขานว่ายอดเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้าน แม้แต่ในตัวเมืองใหญ่บางครั้งก็เรียกตัวเธอไปช่วยจัดดอกไม้ในงานเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ
….และงานแต่งงานที่กำลังจะมาถึงนี้เอมม่าได้ถูกว่าจ้างให้เป็นคนจัดดอกไม้ในงานเช่นกัน
เอมม่ามองดอกไฮเดรนเยียสีม่วงสดที่เริ่มเหี่ยวเฉาก่อนจะสัมผัสมันอย่างท้อใจ เห็นทีเธอจะได้เปลี่ยนธีมดอกไม้ในงานทั้งหมดให้เป็นดอกกุหลาบสีขาวแทน….
“ดอกไม้ช่างงดงาม...”
ใบหน้าตกกระเบิกตากว้างมองรอบทิศหาต้นเสียงที่เอ่ยทักทายแต่กลับไม่พบกับใคร ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปที่หุ่นไล่กาที่อยู่ห่างกับเธอไม่กี่เมตรก่อนจะขยับเท้าเดินไปใกล้ๆ มัน
“นั่นใคร ?” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตอบกลับมา เอมม่าไม่ได้นึกหวาดกลัวแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นราวกับได้รอดอกไม้ที่กำลังผลิบาน แต่อีกใจนึงก็นึกคว้ากรรไกรตัดกิ่งไม้ไว้ข้างกายเพื่อความอุ่นใจ
“ออกมานะ ใครน่ะ ?”
เอมม่านึกสงสัยว่ามีเด็กคนไหนแอบลงมาแกล้งหลอกเธอในยามดึกหรือไม่ นึกได้ดังนั้นสองเท้าจึงก้าวขยับไปตามต้นเสียง ขยับข้ามเหล่าดอกไฮเดรนเยียก่อนจะมาประจบที่หุ่นไล่กาตรงหน้า
....น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่
หญิงชาวสวนยืนประชันหน้ากับหุ่นไล่กาที่เธอประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว มันใส่ชุดเอี้ยมสีแดงที่เพิ่งซักเมื่อตอนกลางวันกับหมวกฟางที่เธอประดิษฐ์เองเช่นกัน ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมันยิ้มแย้มจ้องมองหญิงสาวราวกับมีชีวิต...
“คุณรู้มั้ยว่าเสียงใคร ?” เธอถามพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเอี้ยมขึ้นมาเช็ดใบหน้าเปื้อนดินที่ทำจากหนังสัตว์ห่อหุ้มกองฟางด้านใน เธอลูบไล้ไปตามรอยตะเข็บบนใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นเรื่อยๆ
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเอมม่า….
ค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ที่กระทบกับดอกไฮเดรนเยีย ก้อนเมฆเริ่มเคลื่อนตัวให้แสงนั้นสาดส่องไปในจุดที่ทั้งสองยืนเหมือนกับฉากเต้นรำของเจ้าหญิงเจ้าชายในนิยาย
ใบหน้าบิดเบี้ยวคลี่ยิ้มตะเข็บได้เริ่มปริออกจนเกือบขาด รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าของเอมม่าหุบลงก่อนจะเคลื่อนตัวถอยออกห่างจากสิ่งที่เห็นช้าๆ ดวงตาของหุ่นไล่กาที่กลวงโบ๋กลับเรืองแสงสีแดงขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ มันมีชีวิตขึ้นมาจากการนิทราที่ยาวนาน…
“ข้าเอง...ข้าเป็นคนพูดเอง…”
ร่างฟางที่ถูกไม้เกี่ยวจากด้านหลังหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย ใบหน้าชั่วร้ายมองเจ้าของตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ
“คุณมีชีวิต!?” หญิงสาวพูดน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ใช่แล้ว...ข้ามีชีวิต” ร่างฟางเหยียดยิ้ม “เจ้าสร้างข้าขึ้นมาเอมม่า… เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า…”
“รู้จักชื่อฉันด้วยหรอคะ ?”
“ทำไมข้าจะไม่รู้จักเจ้าล่ะเอมม่า วูดส์…?” ร่างฟางกล่าวชม มองหญิงตรงหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่หวาดหวั่นคับเคืองใจแต่อย่างใด “ข้ารู้จักทุกอย่างที่เป็นตัวเจ้าเอมม่า วูดส์ ….สตรีที่งดงามผู้ให้กำเนิดข้า…”
นี่คงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด พิสดารที่สุดของเอมม่าก็ว่าได้ หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน นึกแปลกใจว่าสิ่งที่เธอปรารถนาจะเป็นจริงได้เร็วเพียงนี้
“ปากหวานจังคุณหุ่นไล่กา คุณรู้ทุกอย่างเลยหรอคะ ?” หญิงชาวสวนเริ่มทำหน้าสนใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
หุ่นไล่กามองใบหน้าตกกระนั้นอย่างพอใจก่อนจะตอบคำถามของเธอด้วยน้ำเสียงยานค้าง “ข้ารู้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเจ้า... ของโปรดของเจ้า... ดอกไม้ที่เจ้าชอบมากที่สุด...
และ...ความปรารถนาลึกๆ ของเจ้า…”
“ความปรารถนา...ลึกๆ ของฉันงั้นหรอ …?” เธอทวนคำตอบนั้นช้าๆ
“ใช่แล้ว… ข้ารู้ว่าความปรารถนาลึกๆ ของเจ้าเป็นอย่างไร…” หุ่นไล่กากล่าวเสียงนุ่มนวลราวกระซิบ “ยื่นหูมาสิเอมม่า วูดส์...แล้วข้าจะบอกเจ้า”
คำพูดของหุ่นไล่กาตรงหน้าช่างเย้ายวนใจเธอยิ่งนัก เอมม่ารู้ดีว่าการพูดกับหุ่นไล่กาเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ...แต่การที่หุ่นไล่การู้สิ่งที่เธอนึกคิดได้ทุกอย่างนี่กลับน่าประหลาดใจยิ่งกว่า….
เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงโน้มตัวยื่นหูตั้งใจฟังในสิ่งที่หุ่นไล่กาตรงหน้าตั้งใจจะกล่าวแต่กลับมีคนเข้ามาขัดจังหวะนั้นเสียก่อน
“เอมม่า ทำอะไรน่ะ ?”
หญิงสาวรีบหันมองคนที่ขานชื่อเรียกตนก่อนจะเห็นร่างของเด็กหญิงและเด็กชายอย่างละคน ทั้งสองมีสภาพงัวเงียเหมือนเพิ่งถูกปลุกตื่นในยามเช้า
“มาย่าเขานอนไม่หลับน่ะฮะ” เด็กชายชาวสเปนกล่าวใบหน้าดูเป็นห่วงเป็นใยเด็กสาวที่อายุน้อยกว่า “เธอฝันร้าย”
เอมม่าถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเกือบหัวใจวายตายที่เด็กทั้งสองเข้ามาทักแบบไม่ได้ให้สัญญาณใดๆ เธอเดินไปลูบหัวเด็กสาวที่กำลังเริ่มจะสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำกอดเธอแล้วเริ่มปล่อยโฮ่ออกมา
“โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องนะจ๊ะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” เอมม่าปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมา
“อยู่กับหนูนะ…” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้พลางปาดน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า “จะไม่ทิ้งหนูไปไหนใช่มั้ย...?”
เอมม่าหัวเราะ “ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะทิ้งล่ะ ?” เธอถามกลับพร้อมให้คำมั่นสัญญากับเด็กน้อยที่ร้องไห้ “ฉันไม่ไปไหนหรอก ก็มาย่าเป็นเด็กดีนี่เนอะพีท ?”
“ใช่แล้ว มาย่าเป็นเด็กดีมากๆ เลยนะ” พีทยืนยันอีกเสียงเพราะอยากให้เด็กสาวรู้สึกสบายใจขึ้นแต่เธอก็ยังคงมีสีหน้าหวาดกลัวอยู่เช่นเดิม
“หนูกลัว...หนูฝันว่าคุณตาย...” มาย่าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สัญญากับหนูสิ ว่าคุณจะไม่เป็นอะไร...”
ใบหน้าตกกระเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดของเจ้าตัวเล็กก่อนจะนึกถึงนิยายฆาตกรรมที่อ่านให้พวกเด็กๆ ฟังเมื่อตอนหัวค่ำแล้วจึงคลี่ยิ้มร่าเริงออกมาเหมือนเช่นเคย คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องมี่เธอเล่าน่ากลัวเกินไปจนมาย่าเก็บเอาไปฝัน
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสัญญาว่าจะไม่เป็นไรแน่” หญิงชาวสวนให้คำมั่น “ตอนนี้มันดึกมาแล้วรีบเข้านอนเถอะไม่งั้นพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นมาเล่นกับเพื่อนๆ เอานะ”
“คุณจะไปนอนกับพวกเรามั้ยฮะ ?” พีทกระตุกเสื้อกันเปื้อนของเธอก่อนเอ่ยถาม
“แน่นอนจ่ะ ฉันจะไปนอนกับพวกเธอด้วย” เอมม่ายิ้มตอบทำเอาพวกเด็กๆ ร้องดีใจกันยกใหญ่
เธอเหลือบหันมองหุ่นไล่กาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไฮเดรนเยียเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไปข้างในตัวโบสถ์
….มันยังคงยืนนิ่งสงบราวกับสิ่งที่เธอเห็นไม่เคยเกิดขึ้นมา….หรือเพราะนั่นเป็นเพียงแค่ภาพที่เธอจินตนาการขึ้นมากันแน่ ?
ในยามเช้าหลังจากที่ทำกิจกรรมส่วนตัวเสร็จ เอมม่ารีบตรงไปยังสวนหลังโบสถ์ทันทีโดยที่ไม่ให้ใครเห็น เธอย่องเข้ามาในสวนดอกไฮเดรนเยียที่ผลิดอกบานอย่างสวยงามผิดกับสภาพเมื่อคืนที่เกือบแห้งเหี่ยวและเฉาตาย
“ฉันมาหาคุณแล้ว ขอโทษนะคะที่มาช้า...” หญิงชาวสวนหอบหายใจจากการรีบวิ่งหลบผู้คนออกมา ใบหน้ายิ้มแย้มดีใจที่ได้กลับมายืนตรงนี้อีกครั้ง เอมม่าสูดกลิ่นฟางแห้งเข้าเต็มปอด รู้สึกหลงใหลกับทุกสิ่งทุกอย่างในนี้แม้กระทั่งหุ่นไล่กาที่เธอเป็นคนประดิษฐ์มันขึ้นมาเอง
“คุณโกรธฉันหรือเปล่า? ฉันตั้งใจมาหาคุณอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอกล่าวเลื่อนมือขึ้นประกบแก้มแผ่นหนังหุ้มฟางตรงหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ทำไมคุณไม่ตอบฉันเลยล่ะ ?” เอมม่าถาม รู้สึกผิดหวังที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา “ฉันรักคุณนะ อยากให้คุณรู้ไว้...ฉันนึกฝันมาตลอดว่าอยากใส่ชุดแต่งงานคู่กับชายผู้เป็นที่รักในทุ่งดอกไฮเดรนเยีย” ใบหน้ายิ้มแย้มพูดพลางหมุนตัวเหมือนกำลังจะเต้นรำ เธอคาดหวังว่าหุ่นไล่กาจะตอบอะไรเธอกลับมาบ้างแต่มันก็ยังคงนิ่งเฉยแบบหุ่นไร้กาทั่วไปที่ไร้ชีวิต ...เอมม่ารู้สีกหงุดหงิดในใจขึ้นมา
“ทำไมล่ะ ทำไมคุณไม่พูดมันออกมา คุณโกรธฉันหรอ พูดกับฉันสิ!!” เธอตะโกนพลางเขย่าร่างฟางตรงหน้าอย่างแรง รู้สึกควบคุมสติของตนเองไม่อยู่จนถึงกับร้องไห้ออกมา เธอหัวเราะราวกับคนบ้าและคว้ามีดตัดกิ่งไม้ขึ้นมาด้วยสภาพจิตใจบอบช้ำ
หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทงด้วยยอดเหล็ก ใบหน้าที่กำลังหัวเราะปรับเปลี่ยนมาเป็นฉีกยิ้มให้กับคนรักตรงหน้าแทน อยากจะให้อีกฝ่ายบอกรัก...อยากให้อีกฝ่ายมอบหัวใจให้แก่เธอ...ทั้งหัวใจและร่างกาย….
“บอกมาสิว่าคุณรักฉัน…” เอมม่าพูดจ่อมีดไปที่กลางลำตัวของหุ่นไล่กาตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำข่มน้ำตาที่กำลังไหลออกมา “บอกมาสิว่ารักฉัน! รักฉัน! รักฉัน! รักฉัน!!!!”
เธอกรีดร้องเสียงดังและเริ่มเอามีดตัดกิ่งไม้แทงทะลุเข้าร่างฟางตรงหน้าซ้ำๆ จนกระทั่งร่างฟางที่ถูกมัดรวมกันเริ่มพรุนหลุดออกมา บรรดาซิสเตอร์และบาทหลวงที่อยู่ในโบสถ์ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ก่อนจะช่วยกันควบคุมตัวคนที่กรีดร้องอย่างทรมานให้สงบสติอารมณ์
“ปล่อยฉันนะ!! ปล่อยฉันนะ!! กรี๊ดดดดด!!!” เธอกรีดร้องออกแรงดิ้นไปมาจนหมดแรงขัดขืนแล้วสลบลงไป...
...สิ่งสุดท้ายที่เอมม่าเห็นคือภาพใบหน้าของหุ่นไร้กาที่เหยียดยิ้มให้เธอด้วยความสมเพช….....
“...อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ…”
“...ใช่”
เสียงพูดคุยปลุกหญิงสาวที่สลบไปให้รู้สึกตัวขึ้นมา ร่างที่อึดอัดถูกมัดผูกติดไว้กับเตียง กลิ่นของยาทำให้สมองของเธอรู้สึกมึนงงและไม่แน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้ใช่โบสถ์หรือไม่
“...ฉันว่าเราต้องเรียกหมอ…”
“...เคยอยู่ คุณเพียร์สันเคยเรียกหมอให้มารักษาอาการของเธอ…ฉันคิดว่าเธอหายแล้ว…”
เอมม่าเกาหัวอย่างมึนงง รู้สึกปวดหัวหนักมากจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับของตนเองสกัดกั้นความเจ็บปวดรวดร้าว มีภาพบางอย่างในสมองของเธอที่แตกออกจากกันเหมือนเสดจิ๊กซอว์เริ่มขยับรวมกันที่ละนิด แต่เมื่อเธอพยายามจะดูภาพนั้นเมื่อไหร่อาการปวดหัวจนสมองแทบจะระเบิดก็ถาโถมเข้าเล่นงานเธอเมื่อนั้น
ร่างซีดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง มือขนาบข้างดึงผ้าปูที่นอนแน่นข่มความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ ...น่าแปลกที่เธอรู้สึกเหมือนเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วในอดีตที่แสนจะเจ็บปวดรวดร้าว เสียงหัวเราะ...เสียงเครื่องจักร...เสียงร้องตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคย…เสียงกรีดร้อง…
...ทรมาน
…...ทรมานจนแทบจะสิ้นใจ อยากจะกัดลิ้นของตนเองเสียให้ตายไปซะตอนนี้แต่ร่างกายกลับอ่อนล้าเกินกว่าจะทำอะไรได้ แววตาอ่อนเพลียค่อยๆ หลับลงไปอีกครั้ง…
“!!!!”
เอมม่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอกุมหัวใจที่เต้นแรงราวกับมันจะทะลุออกมาจากร่างกายก่อนจะตั้งสติ ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เย็นลงอีกครั้ง ร่างกายชุ่มเหงื่อพยายามใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วก้าวขาลงทรงตัวจับขอบโต๊ะไม่ให้ตนเองล้มลง มือซ้ายปาดเหงื่อบนใบหน้าออกมองสภาพรอบตัวที่เป็นห้องของเธอตอนไหนก็ไม่ทราบ อาจเพราะความเจ็บปวดทรมานเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เธอคงคิดมากไปเอง….
ดวงตาสีเขียวเข้มพลันเห็นซองกระดาษสีน้ำตาลที่วางไว้บนโต๊ะใกล้มือ...ไม่ใช่เพราะซองกระดาษนั้นแปลกพิสดารหรือดูสะดุดตาแต่อย่างใด เพียงแต่มันถูกแนบมากับดอกไฮเดรนเยียและจ่าหน้าซองถึงชื่อหนึ่งไว้
‘ ลิซ่า เบค ’
เอมม่าเอ่ยชื่อนั้นออกมาราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดีก่อนจะตัดสินใจเปิดซองนั้นออกอย่างระมัดระวัง ด้านในมีกระดาษอยู่สองแผ่นที่ใช้คลิปหนีบกระดาษแนบติดกัน เธอตัดสินใจดึงแผ่นแรกที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยลายมือหวัดๆ ใช้น้ำหมึกสีแดงที่คล้ายกับข้อความจ่าหน้าซองถึงลิซ่า เบคขึ้นมาดู
ส่วนแผ่นที่สองนั้นเป็นรูปถ่ายขาวดำของครอบครัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับเนื้อหาในจดหมาย ทว่าภาพนั้นกลับไม่ได้สมบูรณ์เพราะถูกฉีกขาดออกไปส่วนหนึ่งแต่หญิงสาวหาได้สนใจไม่….
เอมม่า วูดส์ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาระหว่างอ่านเนื้อความในจดหมายนั้นก่อนจะเก็บมันใส่ในกระเป๋าเสื้อกันเปื้อนเก่าที่เธอสวมอยู่ ใบหน้าคลี่ยิ้มสดใสแต่กลับแฝงเลศนัยอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครทราบความหมายของใบหน้านั้นแม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม...
“ฉันจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ สุดที่รักของฉัน…”
ผลงานอื่นๆ ของ Freely007 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Freely007
ความคิดเห็น